“เบิ้ล ปทุมราช อาร์สยาม” เด็กหนุ่มที่มากับความกล้า สู่ซุปตาร์พันล้านวิว

ส่งต่อข่าวนี้
  • Facebook
  • Twitter
  • Line
  • Copy Link

ผมโชคดีที่มีความกล้า และมีโอกาส ประจวบเหมาะกับเป็นสิ่งที่เราชอบ สุดท้ายสิ่งที่นำพามาซึ่งความโด่งดังก็เพราะความกตัญญูครับ

เบิ้ล ปทุมราช อาร์สยาม ซุปตาร์เดินดินศิลปิน 1,000 ล้านวิว
ซุปตาร์เดินดินศิลปิน 1,000 ล้านวิว “เบิ้ล ปทุมราช อาร์สยาม”

จะมีสักกี่คนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังเด็กวัยไม่ถึงเบญจเพส อย่างซุปตาร์เดินดินศิลปิน 1,000 ล้านวิว “เบิ้ล ปทุมราช อาร์สยาม” หรือ “อาทิตย์ สมน้อย” หนุ่มน้อยจากจังหวัดอำนาจเจริญ ผู้มีความสามารถในการแต่ง และร้องเพลงจนสร้างชื่อเสียงโด่งดังเพียงระยะเวลาแค่ 5 ปี ที่เข้าสังกัด ค่ายเพลง อาร์สยาม ในเครือRS Group ด้วยยอดชมผลงานเพลงทั้งหมดกว่า 1,000 ล้านวิวจากฐานแฟนคลับที่ชื่นชอบ และติดตามสื่อโซเชียลรวมกว่า 10 ล้านคน ทั้งจากเฟซบุ๊ก แฟนเพจ อินสตาแกรม ยูทูป และติ๊กต็อก

นอกจากนี้ เค้ายังมีฝันเปิดบริษัทผลิตหนังเป็นของตัวเอง พร้อมทำผลิตภัณฑ์อื่นๆ เพื่อเป็นน้ำหล่อเลี้ยงธุรกิจจากหลายๆ ทาง ซึ่งไม่ว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นทั้งหมดจะเป็นเพราะโชคชะตา โอกาส หรือจังหวะที่พอเหมาะพอดี แต่จากการที่ได้พูดคุยกับหนุ่มน้อยคนนี้ ในฐานะแขกรับเชิญพิเศษประจำสัปดาห์ ก็ทำให้เรารู้ว่า พรสวรรค์ไม่สำคัญเท่าพรแสวง บวกกับแรงผลักดันพยายามก้าวไปสู่ความสำเร็จในชีวิตอย่างยั่งยืน

จุดเริ่มต้นของเน็ตไอดอลบ้านนา 100 ล้านวิว สู่ซุปตาร์เดินดิน ศิลปิน 1,000 ล้านวิว เบิ้ล ปทุมราช อาร์สยาม

“ผมมาจากการแต่งเพลงลงโซเชียลแล้วมีคนติดตาม สมัยนั้นจะมีเพจ Youlike (คลิปเด็ด) เพจ YouTube (คลิปเด็ด) ที่เค้ามาแชร์เพลงของเราไปที่เพจเค้าแล้วให้เครดิต เลยกลายเป็นว่ามีคนมาตามเราที่เฟซบุ๊ก เพิ่มขึ้นจาก 2-300 คน เป็นหลักพัน แล้วตอนนั้นก็เป็นช่วงที่ผมออกจากโรงเรียน กลับมาอยู่บ้านช่วยพ่อแม่ทำงาน ก็เลยแต่งเพลง อ้ายมีเหตุผลลงเฟซบุ๊ก กับเพลง เฟสก็หายไลน์ก็เงียบคนก็มาฟังเยอะขึ้น จากกดไลก์หลักพันเป็นหลักหมื่น แล้วตอนนั้นรูปโปรไฟล์เราจะใส่หมวกใส่ผ้าขาวม้า แต่งเพลงที่เถียงนา คนก็เลยมองภาพลักษณ์ และให้ฉายาเราว่า เน็ตไอดอลบ้านนา ครับ” เบิ้ล ปทุมราชกล่าวถึงประวัติและจุดเริ่มต้นการเป็นซุปตาร์

ประวัติ เบิ้ล ปทุมราช หรือ “อาทิตย์ สมน้อย” หนุ่มน้อยจากจังหวัดอำนาจเจริญ
เปิดประวัติ “เบิ้ล ปทุมราช อาร์สยาม” หรือ “อาทิตย์ สมน้อย” หนุ่มน้อยจากจังหวัดอำนาจเจริญ

มีแรงบันดาลใจอะไร ถึงอยากเป็นนักร้อง

“ทุกคนจะมีแรงบันดาลใจที่แตกต่างกัน แต่จุดมุ่งหมายของการเป็นนักร้องจะคล้ายๆ กันคืออยากมีชื่อเสียง อยากมีงาน มีเงินดูแลครอบครัว มีฐานะที่ดีขึ้น มีเงินใช้แบบไม่ลำบาก พ่อแม่ไม่ต้องทำงานหนักเหมือนแต่ก่อน ซึ่งผมก็พยายามใช้พรสวรรค์กับพรแสวง ซึ่งบางคนเกิดมามีโอกาสแต่ว่าขาดความกล้า บางคนเกิดมามีความกล้าแต่ขาดโอกาส แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงของเฟซบุ๊กที่กำลังบูม ผมก็เลยโชคดีที่มีความกล้า และมีโอกาส ประจวบเหมาะกับเป็นสิ่งที่เราชอบในตอนนั้น ก็เลยลงตัว สุดท้ายสิ่งที่นำพามาซึ่งความโด่งดังก็เพราะความกตัญญูด้วยครับ” เบิ้ล ปทุมราชกล่าว

เบิ้ล ปทุมราช อาร์สยาม เผยแรงบันดาลใจอะไร ถึงอยากเป็นนักร้อง
“เบิ้ล ปทุมราช อาร์สยาม”

เบิ้ล ปทุมราช เผย 5 ปี ในวงการบันเทิง สอนอะไรเราบ้าง

“ที่จริงบทเรียนเยอะมากเลยนะครับ แต่ถ้าที่สอนเรามากที่สุด ก็คงจะเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตที่ไม่แน่ไม่นอน คือการได้รับคัดเลือกเป็นทหารเกณฑ์ ในช่วงที่กำลังพีคสุดในการเป็นนักร้อง ในปี 2559-2560 ซึ่งก็คือที่สุดแล้วของตัวเองที่มีงานข้ามปี มีคอนเสิร์ตเต็ม 30-40 งานต่อเดือน แต่ก็ต้องหยุดชะงักเพื่อการรับใช้ชาติ แต่ก็ดีเหมือนกันนะครับ บางทีถ้าเราเป็นนักร้องไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรมาสกัด เราก็อาจจะหลงระเริงในแสงสีเสียง มีเงินทองมากเกินไปจนลืมว่ามาจากไหน แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งก็เสียดาย เราเคยร้องเพลงกับแฟนคลับกำลังจะเป็นที่ชื่นชอบทั่วประเทศ ก็ต้องทิ้งไว้เป็นปี 2 ปี แต่ก็โชคดีที่แฟนเพลงไม่หายไปไหน ซึ่งอาจเป็นเพราะสิ่งนี้ที่ค้ำจุนให้เราอยู่ต่อได้ หนึ่งคือเราบวช เสร็จแล้วก็รับใช้ชาติ ก็เหลือแต่แต่งงานครับ (หัวเราะ)”

เบิ้ล ปทุมราช อาร์สยาม ยอมรับว่ารักการเป็นนักร้องที่สุด
“เบิ้ล ปทุมราช อาร์สยาม”

ตอนนี้เบิ้ล ปทุมราช เติบโตจนมีบริษัทผลิตหนัง และเพลงเป็นของตัวเอง ชอบบทบาทไหนมากกว่ากันระหว่างการเป็นนักร้อง นักแสดง หรือนักธุรกิจ

เบิ้ล ปทุมราช กล่าวว่า “ผมก็รักและชื่นชอบในงานบริหารนะครับ พยายามเรียนรู้จากออนไลน์ในเรื่องการดูแลธุรกิจต่างๆ แต่ก็ยังไม่ได้ลงแรงอะไรไปมาก แต่ธุรกิจของหนังเป็นเรื่องที่เราชอบ ส่วนเพลงผมยังไม่ได้เปิดค่าย เพราะยังสังกัดอยู่ Rsiam อยู่ RS Group แต่ผมทำบริษัทหนัง ที่ดึงรากแก้วของบริษัทให้เป็นน้ำหล่อเลี้ยงหลายๆ ส่วน ทั้งทำซีรีส์ ละคร เพลง ทำธุรกิจต่างๆ แบรนด์ต่างๆ เพราะว่าผมจดทะเบียนคลุมแบบให้สามารถทำอะไรที่กว้างขึ้น ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์ เพราะผมมีความฝันวันหนึ่งถ้าได้ทำอะไรที่เปิดกว้างสู่อินเตอร์มากขึ้น ภาพยนตร์ที่สร้างอาจจะเป็นซีรีส์ส่งออกต่างประเทศ กัมพูชา สปป.ลาว หรือส่งตามสถานีโทรทัศน์อื่นๆ ในอนาคต”

“ก็เลยคิดว่า บริษัท แลนด์ ออฟ สไมล์ ฟิล์ม ก็น่าจะทำเพลงให้น้องๆ ดาราในสังกัดได้ทำตามความฝันด้วยครับ ถ้าถามว่าชอบอันไหนมากที่สุด ก็คงเป็นเพลงครับ เพราะมันคือตัวตนของเรา มันเป็นสิ่งที่เราคิดปุ๊บแล้วทำได้ปั๊บ แต่หนังเราต้องไปวิเคราะห์ ไปเรียนรู้ศึกษาช่วงเวลาที่หนังจะเข้า นักแสดงนำหน้าหนังคือใคร จะขายต่างประเทศได้มั้ย จะขายช่องทีวีได้หรือเปล่า การตลาดปีนี้ของเราจะเป็นยังไง ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดเองทั้งหมดนะคะ ผมมีทีม และผู้บริหารที่ไว้ใจได้ให้คำปรึกษา”

“แต่จริงๆ ผมไม่เคยมองตัวเองว่าเป็นผู้บริหาร ผมไม่เคยบอกใครเลยว่าผมเป็นผู้อำนวยการสร้างหนังเรื่องนั้นๆ เพราะไม่อยากให้เค้ารู้สึกว่าต้องเกรงใจ แต่จะมีกลุ่มหลักๆ ที่รู้จัก อย่างทีมกล้อง เสื้อผ้า เค้าจะรู้จักเราก็จะเรียก ‘บอสๆ’ ผมก็จะบอกว่า พี่อย่าเรียกเลยมันดูห่าง เพราะการเป็นบอสมันจะมีความเกรงใจ มีความทะเยอทะยานในการรับใช้ ไม่อยากให้คิดแบบนั้น อยากให้เป็นตัวของตัวเอง ผมก็ไหว้ตั้งแต่ฝ่ายเสื้อผ้า ผู้กำกับ ไปจนถึงผู้บริหารระดับสูงๆ ก็เลยรู้สึกว่าคนในวงการหนังเค้ารักเรา เวลามีหนัง ภาพยนตร์ของค่ายไหน เราก็จะไปให้กำลังใจเค้า ไม่ว่าจะเป็นค่ายเล็กหรือใหญ่ คือเราเดินทางมาโดยยึดหลักคุณธรรมในตัว หนึ่งทำให้คนรักมันยาก ทำให้คนเกลียดมันง่าย แต่จะทำยังไงให้คนรักเรานานๆ ทั้งการทำงาน ทั้งการบริหาร ทั้งการร่วมอาศัยอยู่กับเพื่อนในวงการทั่วไป”

เบิ้ล ปทุมราช อาร์สยาม เผยแผนในอนาคต
“เบิ้ล ปทุมราช อาร์สยาม”

“ความสำเร็จของแต่ละคนไม่เหมือนกันครับ บางคนต้องมีร้อยล้านพันล้าน ต้องดังต้องดีต้องเด่น แต่สำหรับผมคือการที่เราแค่ก้าวออกจากบ้านมาเป็นนักร้องได้ ดูแลพ่อแม่ได้ก็สำเร็จแล้ว มันไม่ต้องรออะไรที่สำเร็จไปมากกว่านี้ แต่จะไม่หยุดพัฒนาดีกว่า สำเร็จแต่ไม่หยุดพัฒนา ผมอยากอยู่โดยที่ไม่ต้องร่ำรวยอะไรมาก แต่อยากอยู่อย่างมั่นคง คำว่ามั่นคงไม่ได้หมายถึงว่ารากฐานต้องแน่น มีบ้านมีรถอะไรเยอะๆ ไม่ใช่ครับ มั่นคงของผมคือหนึ่ง เราไม่เหนื่อย เราไม่ต้องยื่นมือออกไปให้ปวดแขน เราแค่วางมืออยู่กับตัวแล้วพอดี ใช้ชีวิตไม่เหนื่อยมาก ตายไปก็ไม่เสียดาย ก็ได้เห็นแล้ว ก็ได้ทำแล้ว ไม่ใช่ตายไปแล้วคิดเสียดายว่า ซ่อนเงินไว้ตรงนั้นตรงนี้ นั่นไม่ใช่ความมั่นคง มันคือความโหยหา ทะเยอทะยานไม่มีที่สิ้นสุด”

“แต่ผมก็ลองผิดลองถูกลงทุนหลายเรื่องเหมือนกัน มากบ้างน้อยบ้าง ผมทำมาทุกอย่างแล้วในชีวิตการเป็นนักร้อง เบิ้ล ปทุมราช เพราะผมคิดเสมอว่าในเมื่อผมติดเป็นทหารในช่วงนั้นแล้วไม่ได้หยิบไมค์ ผมจะอยู่กับที่ไม่ได้แล้ว จะเป็นแค่นักร้อง เบิ้ล ปทุมราช ที่รอออกคอนเสิร์ตอย่างเดียวไม่ได้ อย่างทุกวันนี้ มันก็เกิดขึ้นจริงๆ วันที่โควิด-19 เข้ามา วันที่โรคภัยไข้เจ็บระบาด มาแทรกแซงคิวงานคอนเสิร์ต อีเวนต์ เราทำยังไงล่ะ เราไม่มีเงินเดือน เราจะรอแค่เงินจากคอนเสิร์ต จากรีวิวสินค้า แล้วลูกน้องเราจะอยู่ยังไง บ้าน รถ พ่อแม่เราล่ะ แต่การอยู่กับธุรกิจอาจจะไม่ใช่สิ่งที่มีความสุขที่สุด บางครั้งรายได้หลักอาจจะมาจากอาชีพเสริม รายได้เสริมอาจจะเป็นอาชีพหลักก็ได้”

“ในอนาคตผมมีความฝันอยากจะทำวงเกิร์ลกรุ๊ป อยากสร้างศิลปินผู้หญิงที่มีความสามารถในการเต้น และร้องเพลง มาทำเป็นเกิร์ลกรุ๊ปอีสานแบบที่ผมทำในหนัง ‘ฮักเถิดเทิง’ แต่ผมจะสร้างให้อยู่ในโลกของความเป็นจริง ให้เค้าร้องเพลงอีสานสไตล์ EDM มีบุคลิกที่เต้นแบบเกาหลี ผสมการฟ้อนรำอีสาน รอให้หนังผ่านพ้นไปก่อน แล้วผมจะประกาศอย่างเป็นทางการ และคัดเลือกกันอีกที อย่างน้อยการที่เข้ามาบริษัทผมจะมีหนังรองรับด้วย ได้มาเจอผู้ใหญ่ ได้เล่นหนัง จะได้รู้ว่ามาทำเพลงกับผมนั่นมันสุดยอดแล้ว ไม่ต้องไปรอคอย ไม่ต้องประกวด อย่างน้อยอยู่กับ เบิ้ล ปทุมราช อาจจะทำเพลง 1 ไม่ดัง เพลง 2 ไม่ดัง แต่คุณก็ได้รับโอกาสดีๆ ที่คุณไม่เคยเห็นที่อื่น” เบิ้ล ปทุมราชกล่าวส่งท้ายสัมภาษณ์ พร้อมฝากผลงานในอนาคต